นโยบายภาษีทรัมป์สะดุด ศาลชี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

04 กันยายน 2568
นโยบายภาษีทรัมป์สะดุด ศาลชี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐอเมริกา ตามนโยบายการใช้พิกัดอัตราภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือในการตอบโต้ทางการค้าของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีตอบโต้” ซึ่งประกาศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เผชิญปัญหาสำคัญในทางกฎหมาย จนอาจไม่สามารถบังคับใช้ได้ หลังจากศาลอุทธรณ์ของสหรัฐอเมริกาพิพากษาชัดเจน ว่าการกำหนดอัตราภาษีดังกล่าวของทรัมป์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยองค์คณะผู้พิพากษาของศาลอุทธรณ์มีมติ 7-4 เสียง เห็นชอบกับคำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ชี้ว่าการกำหนดมาตรการทางภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” เนื่องจากเป็นการกระทำที่อยู่นอกเหนืออำนาจของประธานาธิบดี ตามรัฐบัญญัติว่าด้วยอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (ไออีอีพีเอ) ซึ่งทรัมป์ใช้อ้างอิง
ข้อที่น่าสังเกตก็คือว่า ศาลไม่ได้สั่งระงับ หรือมีคำพิพากษาให้ภาษีตอบโต้ของทรัมป์เป็นโมฆะโดยทันที แต่ให้เวลากับรัฐบาลอเมริกันภายใต้การนำของทรัมป์ไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม โดยหลังจากวันดังกล่าวแล้ว มาตรการทางภาษีของทรัมป์ที่ออกโดยความตามรัฐบัญญัติฉบับนี้จะไม่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายในทันที

ผู้สันทัดกรณีชี้ว่า การให้เวลารัฐบาลสหรัฐไปจนถึงราวกลางเดือนตุลาคมนั้น เนื่องจากศาลเล็งเห็นว่ารัฐบาลอเมริกันจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นสู่การชี้ขาดของศาลสูงสุด และเชื่อด้วยว่าศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาจะพิจารณาเรื่องสำคัญนี้โดยเร็ว และน่าจะมีคำพิพากษาที่จะเป็นการตัดสินชี้ขาดเรื่องนี้ออกมาก่อนกำหนดเวลาดังกล่าว

นอกเหนือจากการทำให้นโยบายที่เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินนโยบายต่างประเทศและการค้าของทรัมป์ต้องสะดุดลงแล้ว คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ยังสามารถส่งผลกระทบต่อสภาวะทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในทันที ซึ่งจะกลายเป็นผลสะเทือนต่อเนื่องไปสู่ระบบการค้าระหว่างประเทศของโลกต่อไปอีกด้วย

ดร.ลินดา ยิวเอห์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดชี้ให้เห็นว่า เนื่องจากภาษีศุลกากรเป็นภาษีที่บริษัทธุรกิจในสหรัฐอเมริกาต้องจ่ายในการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ดังนั้น คำพิพากษานี้จึงสามารถส่งผลกระทบทั้งต่อกำไรและยอดขายของธุรกิจเหล่านั้น ซึ่งจะตกอยู่ในท่ามกลางความไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น

เป้าหมายของการกำหนดอัตราภาษีศุลกากร ก็เพื่อป้องปรามไม่ให้บริษัทในสหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ดังนั้น เรื่องนี้จึงส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศตามไปด้วยเช่นกัน เนื่องจากบรรดาประเทศต่าง ๆ พากันชะลอ หรือระงับการดำเนินธุรกิจกับบริษัทในสหรัฐอเมริกา เพื่อรอดูว่าศาลสูงสุดของสหรัฐจะรับพิจารณากรณีนี้หรือไม่ และรับแล้วจะมีคำพิพากษาออกมาอย่างไร ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงไปอีกมากตามไปด้วย

เชื่อกันว่าในที่สุดคดีนี้ก็ถูกส่งถึงศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ตามที่ทรัมป์ส่งสัญญาณออกมาให้เห็นผ่านทางโซเชียลมีเดีย นักวิชาการส่วนหนึ่งเชื่อว่าองค์ประกอบในองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกา ที่ส่วนใหญ่มีแนวความคิดอนุรักษนิยม จะส่งผลให้ศาลมีคำพิพากษาออกมาในแนวทางเดียวกันกับแนวคิดของประธานาธิบดีทรัมป์

ทั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลสูงของสหรัฐ 6 คนจากจำนวนทั้งหมด 9 คน ได้รับการแต่งตั้งเข้ารับหน้าที่โดยประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน รวมทั้งผู้พิพากษา 3 รายที่ทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้งด้วยตนเองในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายบางคนแย้งว่า ในระยะหลังมานี้ แม้แต่ศาลสูงสุดเองก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย และติติงประธานาธิบดีออกมาให้เห็น เมื่อมีแนวโน้มที่ส่อแสดงว่าประธานาธิบดีซึ่งเป็นประมุขฝ่ายบริหารพยายามใช้อำนาจเกินขอบเขตในนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะในนโยบายที่ไม่ได้รับอำนาจมอบหมายให้ดำเนินการจากรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญของฝ่ายนิติบัญญัติ

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าคำพิพากษาของศาลสูงในคดีนี้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องอย่างใหญ่หลวง ทั้งต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ของโลก ในกรณีที่ศาลสูงสุดพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น จะยังผลให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นทั้งในตลาดเงินและระบบการค้าโลก

เพราะจะเกิดคำถามขึ้นตามมาว่า ทางการสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องนำเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ที่เรียกเก็บตามอัตราภาษีศุลกากรที่ประกาศก่อนหน้านี้ชำระคืนให้กับบรรดาบริษัทธุรกิจต่าง ๆ ที่เคยเป็นผู้จ่ายภาษีขาเข้ามาก่อนหน้านี้หรือไม่

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ คำพิพากษาดังกล่าวจะทำให้ความตกลงทางการค้าที่สหรัฐอเมริกาลงนามไว้กับคู่ค้ารายสำคัญ ๆ ที่เจรจาทำความตกลงกันก่อนหน้าจะครบกำหนดเส้นตายในเดือนสิงหาคม มีสถานะทางกฎหมายอย่างไร ความตกลงการค้ากับประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหราชอาณาจักร ซึ่งเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความพยายามลดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ประกาศใช้ก่อนหน้านี้ จะมีผลบังคับใช้หรือไม่ หรือกลายเป็นความตกลงที่เป็นโมฆียะ สามารถบอกเลิกได้ เพราะอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ที่แน่นอนยิ่งกว่าก็คือ คำพิพากษาในทำนองดังกล่าวจะสร้างความโกลาหล ปั่นป่วนให้เกิดขึ้นกับการเจรจาทางการค้าของสหรัฐอเมริกากับประเทศอื่น ๆ ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ในทันที

ในทางตรงกันข้าม หากศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกามีคำพิพากษาที่เป็นคุณแก่รัฐบาลและประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดทางให้มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรทั้งหลายทั้งปวงยังคงดำรงอยู่ และบังคับใช้ต่อไปได้ ก็จะกลายเป็นแบบอย่างสำคัญที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจตามกฎหมายไออีอีพีเอ ในทางก้าวร้าวและรุกรานมากยิ่งขึ้น มากกว่าที่เคยใช้มาในอดีตนั่นเอง

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตั้งข้อสังเกตว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ครั้งนี้จำกัดอยู่แต่เฉพาะมาตรการทางภาษีที่ทรัมป์กำหนดขึ้น โดยอาศัยอำนาจตามความในกฎหมายไออีอีพีเอ เท่านั้น ในด้านอื่น ๆ เช่น การขึ้นภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง ซึ่งประกาศใช้โดยอาศัยอำนาจตามความในกฎหมายฉบับอื่น ๆ จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป

และไม่แน่รัฐบาลทรัมป์อาจพยายามอาศัยกฎหมายต่าง ๆ เหล่านั้น เพื่อกำหนดมาตรการทางภาษีขึ้นมาทดแทน แม้จะไม่คล่องตัวและยืดหยุ่นตรงกับเป้าหมายที่ทรัมป์ต้องการ เหมือนกับการใช้อำนาจตามไออีอีพีเอ ก็ตามที
แหล่งที่มา : ประชาชาติธุกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.